อ.อรภา ศิลมัฐ
การครอบแก้วคืออะไร?
ครอบแก้ว หรือ Cupping therapy เป็นหนึ่งในวิธีบำบัดโรคของศาสตร์การแพทย์แผนจีนซึ่งค้นพบมานานหลายพันปี ในสมัยก่อนเริ่มต้นจากการนำอุปกรณ์ง่ายๆที่มีอยู่รอบตัวมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ กระบอกไม้ไผ่ ต่อมาจึงค่อยๆเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยและใช้ได้สะดวกมากขึ้น ได้แก่ ถ้วยหรือชามกระเบื้อง จนพัฒนามาเป็นแก้วหรือถ้วยพลาสติกที่ใช้สำหรับครอบแก้วโดยเฉพาะดังที่ใช้กันในปัจจุบัน
การรักษาโรคด้วยการครอบแก้วนั้น แพทย์จีนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่พิจารณาแล้วว่าสามารถรับการรักษาด้วยวิธีการครอบแก้วได้ภายใต้การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีทางการแพทย์แผนจีน ได้แก่ การดูสีหน้า สีลิ้น การซักประวัติ การดม และการจับชีพจร โดยแพทย์จะนำคีมคีบสำลีชุบแอลกอฮอล์มาจุดไฟ วนเข้าไปในถ้วยแก้วที่ใช้สำหรับครอบเพื่อให้เกิดสุญญากาศ จากนั้นจะรีบนำถ้วยแก้ววางบนตัวผู้ป่วยในบริเวณที่ต้องการครอบแก้วเพื่อรักษาโรค โดยทั่วไปจะเป็นบริเวณที่มีกล้ามเนื้อหรือมีอาการปวด เช่น บ่า ไหล่ หลัง ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น แก้วจะดูดผิวหนังบริเวณนั้นให้ตึง ทิ้งแก้วไว้ประมาณ 5-10 นาทีจึงดึงแก้วออก จะพบว่าบริเวณที่แก้วดูดนั้นจะมีลักษณะเป็นรอยจ้ำเป็นสีที่ต่างกัน ตั้งแต่สีชมพูอมแดง แดง ไปจนถึงดำคล้ำ ซึ่งจะบ่งบอกถึงลักษณะร่างกายและอาการของผู้ป่วยที่แตกต่างกันออกไปด้วย
ทางการแพทย์แผนจีน การครอบแก้วช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก กำจัดพิษ(ซึ่งก็คือเลือดคั่งที่ปลายเส้นเลือดฝอย หรือความร้อนที่อยู่ในร่างกาย) ความร้อนจากไฟที่ใช้ไล่อากาศในแก้วให้อยู่ในสภาวะสุญญากาศจะช่วยอุ่นลมปราณให้ไหลเวียนได้คล่องขึ้น เมื่อเลือดและลมปราณไหลเวียนได้ดี อาการปวดหรืออาการเจ็บป่วยนั้นก็จะทุเลาลงหรือหายไปด้วยเช่นกัน
ครอบแก้วในทางวิทยาศาสตร์มันคืออะไรกันแน่?
ในทางวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายหลักการของการครอบแก้วได้ว่า เมื่อกล้ามเนื้อตึงหดเกร็งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามจะทำให้เราเกิดอาการปวด กล้ามเนื้อที่หดเกร็งนี่เองจะไปบีบรัดให้เส้นเลือดฝอยเล็กๆใต้ผิวหนังบริเวณนั้นไหลเวียนเลือดไม่สะดวกและเกิดเลือดคั่ง(blood clot)ที่ส่วนปลายของเส้นเลือดฝอย การครอบแก้วใช้หลักการทางสุญญากาศดูดให้ผิวหนังตึง ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่มีเลือดคั่งเหล่านั้นแตกออกเพื่อปรับความดันในเส้นเลือดฝอย เลือดที่เคยคั่งอยู่จะไหลไปอยู่ใต้ผิวหนังทำให้เราเห็นเป็นรอยจ้ำแดงๆ เลือดจากบริเวณอื่นก็จะไหลเวียนมาแทนที่ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น รอยแดงเหล่านี้จะถูกร่างกายกำจัดออกผ่านกระบวนการกำจัดของเสีย ส่วนเส้นเลือดฝอยที่แตกนั้นร่างกายก็สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เช่นกัน หลังจากครอบแก้ว 5-7 วันรอยจ้ำรอยแดงเหล่านี้ก็จะค่อยๆหายไปในที่สุด
หลังครอบแก้วควรปฏิบัติตนอย่างไร?
ตามปกติหลังครอบแก้วผู้ป่วยจะรู้สึกเมื่อยเล็กน้อยบริเวณที่มีรอยจ้ำสีแดง แต่ถ้าหากเราสัมผัสลมเย็นหรือน้ำเย็นทันทีหลังครอบแก้วจะเป็นการหยุดเลือดแทนที่จะให้มันไหลเวียนปรับสภาพไปตามธรรมชาติ เลือดที่รอยจ้ำเหล่านี้ก็จะคั่งหนักกว่าเดิม จากที่จะหายปวดกลับกลายเป็นปวดมากขึ้น ฉะนั้นเมื่อครอบแก้วแล้วไม่ควรอาบน้ำหรือตากลมเย็นทันที ควรทิ้งระยะเวลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงจึงค่อยอาบน้ำ อย่าลืมจิบน้ำอุ่นๆเพื่อกระตุ้นให้เลือดและลมปราณไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้นด้วย
การครอบแก้วเหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดบริเวณต่างๆตามร่างกาย เช่น ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ เอว หลัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่เป็นหวัดในระยะเริ่มแรก นอนไม่หลับ หรือผู้ที่ต้องการปรับสมดุลทั่วไปของร่างกายอีกด้วย ผู้ที่ไม่ควรได้รับการรักษาด้วยการครอบแก้ว ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็ง โรคผิวหนังติดเชื้อ อ่อนเพลีย หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยวัยชรา ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์แผนจีนก่อนครอบแก้วทุกครั้ง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั่นเอง
แหล่งที่มาของภาพ : www.vodjk.com