ในการปฏิรูปสุขภาพแห่งชาติ ได้กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ดูแล ส่งเสริมสุขภาพให้แก่ประชาชน โดยการสนับสนุนให้ประชาชนได้ใช้ศักยภาพของตนเองในการสร้างเสริมสุขภาพ ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ให้ประชาชนได้ทราบแนวทางการดูแลสุขภาพทั้งทางการแพทย์แผนตะวันตก การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย และการแพทย์ทางเลือกต่างๆ ตลอดจนมีการเปลี่ยนโครงสร้าง บทบาทและภารกิจของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตามพระราชบัญญัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบราชการ ส่งเสริมให้มีการใช้ศาสตร์การดูแลสุขภาพต่าง ๆ ที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ประหยัดและสอดคล้องกับวิถีชีวิต เศรษฐกิจและสังคมไทย อาทิเช่น การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนไทยประยุกต์ การแพทย์แผนจีนและอื่น ๆ ผสมผสานกันในการดูแลสุขภาพศาสตร์การแพทย์แผนจีนมีประวัติการพัฒนาและการสืบทอดกันมากว่าห้าพันปี ในห้าสิบปีที่ผ่านมาได้รับการประยุกต์ผสมผสานกับการแพทย์แผนตะวันตก และกลายเป็นกระแสหลักในการดูแลสุขภาพประชาชนในประเทศจีน และยังเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับจากประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีและสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยมีการนำศาสตร์การแพทย์แผนจีนเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย โดยมีหลักฐานที่ปรากฏพบว่ามีร้านยาจีนจำนวนมากในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศไทย รวมถึงได้มีการก่อตั้งสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทยเมื่อกว่า 80 ปีที่ผ่านมา
เมื่อประเทศไทยมีประกาศใช้พระราชบัญญัติการแพทย์ พ.ศ.2466 แพทย์แผนจีนจำนวนหนึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาแผนโบราณ ต่อมาได้มีการประกาศพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะพ.ศ.2479 ซึ่งได้กำหนดการประกอบโรคศิลปะในสาขาเวชกรรมคือ การตรวจโรค การป้องกันโรค การบำบัดโรคมนุษย์ด้วยกรรมวิธีของการประกอบโรคศิลปะตามแผนนั้น ๆ โดยมีคณะอนุกรรมการวิชาชีพแผนโบราณเป็นผู้กำกับดูแล ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ ต่อมา พ.ศ.2542 ได้มีประกาศพระราชบัญญัติประกอบโรคศิลปะ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อสาขาการแพทย์แผนโบราณเป็นการแพทย์แผนไทย ดังนั้นกลุ่มแพทย์จีนที่เคยได้รับอนุญาตประกอบโรคศิลปะภายใต้สาขาการแพทย์แผนโบราณ ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือการแพทย์ไทย-จีน กรมการแพทย์ สถานพยาบาลหัวเฉียวแผนโบราณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้เสนอคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะพิจารณาศาสตร์การแพทย์แผนจีน ซึ่งคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะได้เห็นชอบให้ใช้มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 โดยใช้ศาสตร์การแพทย์แผนจีนตามมาตราดังกล่าว เมื่อ พ.ศ.2543 การดำเนินการสอบประเมินจรรยาบรรณและความรู้ศาสตร์การแพทย์แผนจีนในระหว่างปี2543-2545 ได้มีบุคคลผ่านการประเมินและได้รับหนังสือรับรองการประกอบโรคศิลปะด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน จำนวน 175 คน
เมื่อศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพสำหรับประชาชนไทย มีการคาดการณ์ว่าระบบบริการการแพทย์และสาธารณสุขจะมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ในศาสตร์การแพทย์แผนจีนในโรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชนอย่างน้อย 4 คนต่อแห่ง ส่วนในศูนย์บริการปฐมภูมิ(Primary Care Unit-PCU) จะมีความต้องการบุคลากรด้านการแพทย์ที่ได้รับการอบรมต่อยอดให้มีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์แผนจีน อาทิเช่น การนวด การกดจุด การฝังเข็ม การใช้สมุนไพรแบบประยุกต์ฯลฯ ซึ่งรวมบุคคล 2 กลุ่มจะมีมากกว่าหนึ่งหมื่นคน เมื่อประเมินความต้องการบุคลากรดังกล่าวแล้วเห็นว่าหากต้องส่งไปเรียนหรือไปรับการอบรมในต่างประเทศจะเป็นการสูญเสียค่าใช้จ่ายอย่างมาก จึงเห็นควรให้มีการผลิตบุคลากรดังกล่าวขึ้นภายในประเทศไทย
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่เปิดดำเนินการโดยมีรากฐานจากโรงเรียนผดุงครรภ์อนามัยวิทยาลัยหัวเฉียวและพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ จึงเป็นสถาบันที่มีความพร้อมของบุคลากรทั้งในสาขาวิชาภาษาจีน และสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ตลอดจนทรัพยากรสารสนเทศ และอาคารสถานที่ต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการศึกษา ประกอบกับความต้องการผลิตบุคลากรทางแพทย์แผนจีน ดังนั้นจึงเห็นควรจัดการศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนจีนขึ้นในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยเพื่อผลิตและฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์แผนจีนสนองตอบความต้องการของสังคม และมุ่งพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนแพทย์แผนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป